วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ปัพพโตปมสูตร

ตำนานปัพพโตปมสูตร

ป ัพพโตปมสูตร อันมาในโกศลสังยุต แห่งสังยุตตนิกาย สคาถวรรค แห่งพระบาลีสุตตันตปิฎก เนื่องจากพระสูตรนี้ มีเนื้อความสัมปยุคด้วยความแก่ ความตาย เป็นพื้น ดังนั้น จึงนิยมสวดแต่ในวัด สำหรับในบ้านนิยมให้สวดเฉพาะงานศพ เมื่อมีการบำเพ็ญบุญเนื่องด้วยศพ ซึ่งอยู่ในบ้าน พระสงฆ์จึงสวดพระสูตรนี้ ทั้งนิยมสวดเป็นประจำสำหรับงานศพอีกด้วย ดังนั้น ก่อนแต่พระสงฆ์จะสวดมนต์บทนี้ จะได้บรรยายถึงความเป็นมาของมนต์บทนี้ก่อน เพื่อเป็นอาภรณ์ประดับจิตของท่านที่สนใจในธรรมสืบไป เรื่องมีว่า

ค รั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับสำราญพระกายในพระเชตวันวิหาร ประทานอนุสาสนีแก่สมณะพราหมณ์ชีพุทธเวไนย ตามควรแก่วิสัยพุทธบริษัท ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในเวิ้งสังสารวัฏฏคามินี ก่อให้เกิดความยินดีในสุปฏิบัติ มั่นอยู่ในเบญจางควิรัติ และกัมมัฏฐาน ถึงซึ่งมรรคญาณตามอำนาจแห่งบารมี

ว ันหนึ่ง ขัตติยาธิบดี พระเจ้าปัสเสนทิโกศล เสด็จไปเฝ้าพระทศพลยังพระเชตวันวิหาร ถวายนมัสการแล้ว ประทับยังพระราชอาสน์สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงได้ทรงปราศรัยไถ่ถามว่า “ มหาราช ดูกรมหาบพิตร พระองค์เสด็จไปปฏิบัติราชกิจที่ไหนมา จึงเสด็จมาถึงมหาวิหารแต่ยังวันไม่ทันเย็น” พระเจ้าปัสเสนทิโกศลจึงกราบทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาค อันราชกิจของพระมหากษัตริย์นี้มีมากเป็นอเนก กษัตริย์ที่ได้รับมุรธาภิเษก สูงด้วยอิสสริยยศวิเศษสุด ถูกความใคร่หมายมั่นเข้าปริยุฏฐ์ให้ว้าวุ่นอยู่เป็นนิตย์ ทรงพิชิตแผ่นดินใหญ่แล้ว อยู่ครองครอง จำต้องขวนขวายในราชกรณียกิจ รักษาราชอาณาจักรทุกทิศให้สถาพร”

ส มเด็จพระชินวร จึงรับสั่งตั้งเป็นปริศนา แด่พระเจ้าปัสเสนทิโกศลว่า “มหาราช ดูกรมหาบพิตร พระองค์จะทรงคิดเป็นประการใด ถ้าราชบุรุษของพระองค์เป็นคนมีวาจาพอจะเชื่อถือได้ ทั้งเป็นคนมีเหตุผลได้เดินทางมาจากทิศตะวันออก เข้าไปเฝ้าพระองค์ แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ได้ไปยังทิศตะวันออกมาได้เห็นภูเขาใหญ่สูงจดท้องฟ้า กำลังกลิ้งบดบี้ขยี้สัตว์ให้ถึงความตายมาเป็นลำดับ และเชื่อแน่เหลือเกินว่า ภูเขาใหญ่นั้น จะต้องกลิ้งมาถึงที่นี้ในไม่ช้านัก ข้าแต่มหาราชเจ้า ฉะนั้น กรณียกิจอันใดของพระองค์มีอยู่ ขอให้ทรงรีบกระทำเสีย”

ด ูกรมหาบพิตร ต่อมาก็มีราชบุรุษของพระองค์ ซึ่งเป็นคนที่มีวาจาที่ควรจะเชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผลได้เดินทางมาแต่ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ ได้เข้าไปเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ได้ไปยังทิศนั้นๆมา ได้เห็นภูเขาใหญ่ สูงจดท้องฟ้า กำลังกลิ้งบดขยี้สัตว์ให้ถึงความตายมาเป็นลำดับ และเชื่อแน่เหลือเกินว่า ภูเขาลูกนั้นจะต้องกลิ้งมาถึงที่นี้ในไม่ช้านัก ข้าแต่มหาราชเจ้า ฉะนั้น กรณียกิจอันใดของพระองค์มีอยู่ ขอให้พระองค์ทรงรีบกระทำเสีย”

ด ูกรมหาบพิตร เมื่อมหาภัยอันใหญ่ ร้ายแรง ล้างผลาญมนุษย์ บังเกิดพร้อมขึ้นแล้ว เห็นปานนี้ พระองค์ควรจะกระทำอะไร ในเพราะความเป็นมนุษย์ที่หาได้ด้วยยาก”

ข ้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า” พระเจ้าปัสเสนทิ กราบทูล “ เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว จะมีอะไรที่จะต้องทำอีกเล่า พระเจ้าค่ะ นอกจาก ธรรมจริยา สมจริยา กุศลกิริยา และบุญญกิริยา หม่อมฉันคิดว่า ควรตั้งหน้าประพฤติธรรม ปฏิบัติเข้าหาความสงบกระทำกุศลบุญ เท่านั้น

ด ูกรมหาบพิตร” พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า “ ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย มีลักษณาการดังภูเขา สูง ใหญ่ และกลิ้งมาบดบี้สัตว์เช่นกัน ดูกรมหาบพิตร ก็เมื่อชราและมรณะยังดำเนินงานเป็นภัยแก่สัตว์ทั้งหลาย คือ บีบคั้นให้สัตว์แก่ ตาย อยู่เป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีกรณียะอันใดที่ควรจะกระทำตอบอยู่อีก”

ไ ม่มีเลย พระเจ้าค่ะ” พระเจ้าปัสเสนทิทูลสนอง “ หม่อมฉันคิดว่า ไม่มีกรณียะใดๆอีกแล้ว เว้นเสียแต่การประพฤติธรรม การปฏิบัติให้เข้าถึงความสงบ และการกระทำกุศลบุญ”

ข ้าแต่พระผู้มีพระภาค กษัตริย์ทั้งหลาย ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว พิชิตมณฑลแห่งแผ่นดินใหญ่ครอบครอง อย่างหม่อมฉันนี้ ย่อมสมบูรณ์ด้วยกำลังรบ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า สามารถย่ำยีขับไล่อริราชศัตรูทั้งปวงได้โดยฉับพลัน แต่สำหรับชรา และมรณะ ไม่มีทางที่จะต่อต้านด้วยกำลังนั้นๆเลย การต่อต้าน ไม่ใช่วิสัยทีเดียว”

ข ้าแต่พระผู้มีพระภาค ในราชสำนัก ย่อมมีอำมาตย์ผู้ใหญ่หลายท่าน ที่มีเวทย์มนต์ดี พอที่จะทำลายข้าศึกศัตรูที่มาจู่โจม มาถึงอาณาจักรให้พ่ายไปได้โดยพลัน ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้เช่นนั้น เมื่อชราและมรณะ เข้ามาถึงแล้วก็ไม่มีทางที่จะต่อต้านด้วยเวทมนต์นั้นๆเลย การต่อต้านมิใช่วิสัยโดยแท้”

ข ้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในราชตระกูล มีเงิน ทอง มีสถานที่วิจิตรงดงาม ทั้งชั้นล่าง ชั้นบนดีมาก พอที่จะเล้าโลมศัตรูที่มาถึงที่อยู่ ให้ใจอ่อน ด้วยทรัพย์ได้ แม้เช่นนั้น เมื่อชราและมรณะ เข้ามาถึงแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะกำลังทรัพย์นั้นๆเลย การเอาชนะด้วยการเล้าโลมด้วยทรัพย์ ไม่ใช่วิสัย

ข ้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะฉะนั้น ในเรื่องการเบียดเบียนของชรา และมรณะ จึงไม่มีการอันใดที่จะกระทำ เว้นแต่การประพฤติธรรม การปฏิบัติเข้าหาความสงบ และการกระทำกุศลบุญ

อ ย่างนั้นแหละมหาบพิตร” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุโมทยา “ จริงอย่างมหาบพิตรรับสั่ง เว้นจากการประพฤติธรรม การปฏิบัติเข้าหาความสงบ และการกระทำกุศลบุญแล้ว ไม่มีการอันใดเลย ที่จะสู้รบปรบมือ ในเมื่อชรา และมาณะเข้ามาเบียดเบียน

ค รั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้แล้ว ต่อนั้น จึงได้ทรงภาษิตปัพพโตปมาคาถา เตือนพุทธบริษัทให้มั่นอยู่ในความไม่ประมาทต่อไปอีกว่า

ภ ูเขาใหญ่ เป็นแท่งทะมึน ล้วนแล้วด้วยศิลา สูงจดท้องฟ้า กลิ้งมาแต่ทิศทั้งสี่ บดบี้ขยี้สัตว์น้อยใหญ่ ให้แหลกลาญบัลลัย ถมพื้นปฐพีโดยไม่มียกเว้น ฉันใด ชราและมรณะก็ฉันนั้น เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ศูทร์ และคนจัณฑาลตลอดคนงานทั่วไป ไม่เว้นบุคคลใดๆย่อมย่ำยีบีทาตลอดหมด ไม่มีสมรภูมิที่จะต่อต้าน ด้วยช้าง ม้าหรือกระบวนรถ ตลอดทหารราบให้ยอมจำนน ทั้งไม่อาจจะต่อยุทธด้วยเวทมนต์หรือเล่ห์กลทุกสถาน ทั้งไม่อาจจะเล้าโลมด้วยทรัพย์ศฤงคารเอาชนะได้ ต้องถูกย่ำยีให้ทรุดโทรมบัลลับอยู่เนืองนิตย์ เพราะฉะนั้น นรชาติผู้เป็นบัณฑิต หนักในเหตุผล เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตนอันงามตามวิสัย ย่อมปลูกศรัทธาในพระรัตนตรัยให้มั่นคง คือ ๑.พระพุทธ ๒.พระธรรม ๓.พ ระสงฆ์ องค์บุญญเขต ซึ่งเป็นสรณะอันพิเศษ ควรแก่การบูชาเพราะเมื่อผู้ใดมีใจศรัทธา ประพฤติธรรมตามสมควรแก่ธรรมเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญผู้นั้นในโล กนี้ เพราะเป็นธรรมจารีบุคคล ชนผู้พอใจในบุญกุศล เมื่อวายชนม์แล้วย่อมบรรเทิงรื่นเริงในโลกสวรรค์ ขอยุติคำรำพรรณใน ปัพพโตปมคาถา แต่เพียงนี้.

—————————————–

(บรรยาย ๖ พฤษภาคม ๒๕๐๐)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น