วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธชัคคสูตร

บทสวดสำหรับวันศุกร์

ธชัคคสูตร
ป้องกันความสะดุ้งหวาดกลัว

เอวัม เม สุตังฯ
ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดัลมาแล้วอย่างนี้

เอกัง สะมะยัง ภะคะวา
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า

สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ
เสด็จพระทับอยู่ที่เชตะวันวิหารอารามของอนาถปิณฑิกะเศรษฐีใกล้เมืองสาวัตถึ

ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระภิกขุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ดังนี้แล้ว

ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ฯ
พระภิกษุเหล่านั้น จึงทูลรับพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้

ภะคะวา เอตะทะโวจะฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

ภูตะปุพพัง ภิกขะเว
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เรื่องดึงดำบรรพเคยมีมาแล้ว

เทวาสุระสังคาโม
สงครามแห่งเทพดากับอสูร

สะมุปัพยุฬ โห อะโหสิ ฯ
ได้เกิดประชิดกันแล้ว

อะถะโข ภิกขะเว สักโก
ครั้งนั้นแล ภิกขุทั้งหลาย ท้าวสักกเทวราช

เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ
ผู้เป็นเจ้าแห่งพวกเทพดา เรียกหมู่เทพดาในชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่า

สะเจ มาริสา เทวานัง สังคา มะคะตานัง อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี พึงบังเกิดขึ้นแก่หมู่เทพดา ผู้ไปสู่สงครามในสมัยใด

มะเมวะ ตัสมิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ
ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเราอยู่

มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเราอยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี

โส ปิหิยยิสสะติ
อันนั้นจักหายไป

โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่แลดูชายธงของเรา

อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกย ยาถะ
ทีนั้นท่านทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของเทวราชชื่อ ปชาบดี

ปะชาปะติสสะ หิโว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช ชื่อปชาบดีอยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิสสะติ
อันนั้นจักหายไป

โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่แลดูชายธงของเทวราช ชื่อปชาบดี

อะถะ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
ทีนั้นท่านทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของเทวราช ชื่อวรุณ

วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายบแลดูชายธงของเทวราช ชื่อวรุณอยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิส
อันนั้นจักหายไป

สะติ โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่แลดูชายธงของเทวราช ชื่อวรุณ

อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ
ที่นั้นท่านทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของเทวราช ชื่ออีสาน

อีสานัสสะ หิโว เทวะราาชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
เพราะว่าท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช ชื่ออีสานอยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิสสะตีติฯ
อันนั้นจักหายไปดังนี้

ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว
ดูก่อนภิกขุทั้งหลายก็ข้อนั้นแล

สักกัสสะ วา เทวานะ มินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
คือการแลดูชายธงของสักกเทวราช ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพดาก็ตาม

ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
การแลดูชายธงของเทวราช ชื่อปชาบดี ก็ตาม

วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
การแลดูชายธงของเทวราช ชื่อ วรุณ ก็ตาม

อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
การแลดูชายธงของเทวราช ชื่อ อีสาน ก็ตาม

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยเยถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ
อั้นนั้นพึงหายไปได้บ้าง ไม่หายบ้าง

ตัง กิสสะเหตุ
ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร

สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เหตุว่าท้าวสักกเทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งเทพดา

อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห
เธอมีราคะยังไม่สิ้นไป มีโทสะยังไม่สิ้นไป มีโมหะยังไม่สิ้นไป

ภิรุ ฉัมภี อุตราสี ปะลายีติฯ
เธอยังเป็นผู้กลัว ยังเป็นผู้หวาด ยังเป็นผู้สะดุ้ง ยังเป็นผู้หนี ดังนี้

อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ
ดูก่อนภิกขทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า

สะเจ ตุมหากัง ภิกขะเว อะรัญญะคะตานัง วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา
ถ้าว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ไปอยู่ในป่าก็ตาม ไปอยู่ที่โคนต้นไม้ก็ตาม ไปอยู่ในเรือนเปล่าก็ตาม

อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี พึงเกิดขึ้นในสมัยใด

มะเมวะ ตัสมิง สะมะเย อันุสสะเรยยาถะ
ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลายพึงระลึกถึงเรานั้นเทียวว่า

อิติปิ
แม้เพราะเหตุนี้ๆ

โส ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

อะระหัง
เป็นผู้ไกลกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา

สัมมาสัมพุทโธ
เป็นผู้รู้ชอบเอง

วิชชาจะระณะสัมปันโน
เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ

สุคะโต
เป็นพระสุคตผู้เสด็จไปดีแล้ว

โลกะวิทู
เป็นผู้ทรงรู้โลก

อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า

สัตถา เทวะมะนุสสานัง
เป็นศาสดาผู้สอนของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย

พุทโธ
เป็นผู้เบิกบานแล้ว

ภะคะวาติ
เป็นผู้จำแนกธัมม์ ดังนี้

มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ตามระลึกถึงเราอยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิสสะติ
อันนั้นจักหายไป

โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงเรา

อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ
ที่นั้นพึงตามระลึกถึงพระธัมม์ว่า

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
พระธัมม์อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว

สันทิฏฐิโก
เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง

อะกาลิโก
เป็นของไม่มีกาลเวลา

เอหิปัสสิโก
เป็นของจะร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้

โอปะนะยิโก
เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ
เป็นของอันวัญญูชนทั้งหลาย พึงรู้เฉพาะตัว ดังนี้

ธัมมัง หิโว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ตามระลึกถึงพระธัมม์อยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิสสะติ
อันนั้นจักหายไป

โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ระลึกถึงพระธัมม์

อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ
ทีนั้นพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ว่า

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะ กะสังโฆ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว

อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว

ญายะ ปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว

สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
คือ คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย ๔ บุรุษบุคคลทั้งหลาย ๘ นี่พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณะโย
ท่านเป็นผุ้ควรสักการที่เขานำมาบูชา ท่านเป็นผู้ควรของต้อนรับ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน ท่านเป็นผู้ควรอัญชลีกรรม

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

สังฆัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ระลึกถึงพระสงฆ์อยู่

ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี

โส ปะหิยยิสสะติ
อันนั้นจักหายไป

ตัง กิสสะ เหตุ
ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร

ตะถา คะโต หิ ภิกขะเว
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เหตุว่าพระตถาคต

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

วีตะราโค วีตะโทโส วีตะโมโห
มีราคะสิ้นไปแล้ว มีโทสะสิ้นไปแล้ว มีโมหะสิ้นไปแล้ว

อะภิรุ อัจฉัมภี
เป็นผู้ไม่กลัว เป็นผู้ไม่หวาด

อะนุตราสี อะปะลายีติฯ
เป็นผู้ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี ดังนี้แล

อิทะมะโวจะ ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้

อิทัง วตวานะ สุคะโต
พระองค์ผู้เป็นพระสุคต ครั้นตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว

อะถาปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา
ลำดับนั้น พระองค์ผู้เป็นพระศาสดา จึงตรัสพระพุทธพจน์นี้อีกว่า

อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเรวะ ภิกขะโว
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายอยู่ในป่า หรือในรุกขมูล หรือในเรือนเปล่า

อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง
พึงระลึกถึงพระสัมพุทธ

ภะยัง ตุมหากะ โน สิยา
ภัยจะไม่พึงมี แก่ท่านทั้งหลาย

โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ระลึกถึงพระพุทธ

โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง
ซึ่งเป็นใหญ่กว่าโลก ประเสริฐกว่านรชน

อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ
ที่นั้นพึงระลึกถึงพระธัมม์

นิยยานิกัง สุเทสิตัง
อันเป็นเครื่องนำออก ที่เราแสดงไว้ดีแล้ว

โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ
ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงพระธัมม์

นิยยานิกัง สุเทสิตัง
อันเป็นเครื่องนำออก ที่เราแสดงไว้ดีแล้ว

อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ
ที่นั้นพึงระลึกถึงพระสงฆ์

ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง
ซึ่งเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาอื่นยิ่งกว่า

เอวัมพุทธัง สะรันตานัง ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายมาระลึกถึงพระพุทธ พระธัมม์และพระสงฆ์อยู่อย่างนี้

ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส นะ เหสสะตีติ ฯ
ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี จักไม่มีแล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น